เพราะแม้ ลิเวอร์พูล อาจสู้ได้ดีในบางขณะ แต่ภาพรวมของเกมที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ตลอด 90 นาที ก็ชัดเจนว่า เรอัล มาดริด น่าขึ้นเม็ดสองเม็ดสามไปนานแล้ว กว่าที่จะมาได้ประตูโทนตัดสินชัยจาก คาริม เบนเซม่า เจ้าเก่า (น.78)
จึงเป็นอันว่า การผจญภัยใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ของชาวคณะหงส์แดง สิ้นสุดลงเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยพ่ายให้กับ เรอัล มาดริด ทั้งเหย้าและเยือน สกอร์รวม 2-6
และเหล่านี้ คือ 5 สิ่งสำคัญที่กำลังรอ ลิเวอร์พูล อยู่ในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะโค้งสุดท้ายของ 2022/23 นี้…
1. ปัญหา “นัดเยือน” ที่ต้องเร่งแก้ไข
อาจไม่ทันสังเกตเท่าไหร่ (เมื่อโฟกัสไปอยู่ที่ ชุดเยือนขาวอาถรรพ์ นั่นมากกว่า) แต่ก็เริ่มจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่อาจล้อเล่นได้แล้ว ว่าปัญหาของ ลิเวอร์พูล 2022/23 ไม่ได้ต่างไปจาก แมนฯ ยูไนเต็ด สักนิด นั่นคือก็ “ผลงานเกมเยือน” ที่ติดลบอย่างน่าตกใจ
เมื่อเฝ้าบ้าน ลิเวอร์พูล พร้อมชนะได้ทุกทีม แต่เมื่อออกนอกบ้านทีไร อะไรก็มักไม่เป็นใจทุกครั้ง
ปัญหาที่เป็นเหมือน “รอยแผลกลางหลัง” คือรู้ว่ามีแต่มองไม่ค่อยเห็น อันที่จริงเริ่มต้นขึ้นพร้อมๆ กับการออกสตาร์ทฤดูกาลนี้เลยทีเดียว เมื่อปรากฏว่า เกมเยือน 5 นัดแรกของซีซั่น ลิเวอร์พูล เอาชนะใครไม่เป็นเลยแม้แต่แมตช์เดียว!
เสมอ ฟูแล่ม 2-2 (พรีเมียร์ลีก)
แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-2 (พรีเมียร์ลีก)
เสมอ เอฟเวอร์ตัน 0-0 (พรีเมียร์ลีก)
แพ้ นาโปลี 1-4 (ชปล.)
แพ้ อาร์เซน่อล 2-3 (พรีเมียร์ลีก)
จากนั้น จากวันเป็นเดือน จากหลายเดือนสู่ข้ามปี ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ลิเวอร์พูล ไม่อาจตั้งหลักเอาชนะเกมนอกบ้านได้เกินกว่า “สองเกมติด” ได้เลย — หนเดียวที่้เกิดขึ้นในซีซั่นนี้คือปลายเดือน ต.ค. ที่บุกขยี้ อาแจ็กซ์ 3-0 ตามด้วยกลับมาบุกสยบ สเปอร์ส 2-1 ที่ลอนดอน แค่นี้ เท่านี้
อีกทั้งการออกไปแพ้ นาโปลี 1-4 นั่น (เกมเปิดหัวรอบแรก ชปล.) ก็ส่งผลเสียอย่างร้ายแรงให้บทสรุปของกลุ่มเอ ลิเวอร์พูล ต้องยอมเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 2 ตามหลัง นาโปลี ทั้งที่แต้มเท่ากัน (15:15) แต่เป็นรองเรื่องเฮดทูเฮด นั่นเอง
อะไรที่ตามมาหลังจากนั้น?
รองแชมป์กลุ่มอย่าง ลิเวอร์พูล ถูกหยุดเส้นทางไว้อย่างรวดเร็ว ด้วยการแพ้ เรอัล มาดริด ทั้งขาขึ้นขาล่อง
ส่วนแชมป์กลุ่ม นาโปลี เข้าไปถลุง แฟร้งค์เฟิร์ต สกอร์รวม 5-0 สบายแฮ!
นับรวมเกมล่าสุดที่เบร์นาเบวแล้ว จะเท่ากับว่า ลิเวอร์พูล ลงเล่นเกมเยือน 6 นัดหลังสุดโดยได้ผลชนะแค่เกมเดียวถ้วน และแพ้ไปถึง 4 นัดด้วยกัน (ชุดขาวชุดอะไรไม่เกี่ยว เพราะความพ่ายแพ้ 3 จาก 4 เกมนี้ พวกเขาใส่ชุดแดงปกติ)
แพ้ ไบรท์ตัน 1-2 (เอฟเอ คัพ)
แพ้ วูล์ฟส์ 0-3 (พรีเมียร์ลีก)
ชนะ นิวคาสเซิ่ล 2-0 (พรีเมียร์ลีก)
เสมอ คริสตัล พาเลซ 0-0 (พรีเมียร์ลีก)
แพ้ บอร์นมัธ 0-1 (พรีเมียร์ลีก)
แพ้ เรอัล มาดริด 0-1 (ชปล.)
นั่นทำให้ภาพรวมการลงสนามนัดเยือนซีซั่นนี้ ออกมาดูไม่ได้เอาเลย — ลงเล่น 20 นัด ชนะแค่ 6 เสมอ 3 และแพ้ไปถึง 11 เกมด้วยกัน หรือก็คือ “แพ้เกินครึ่ง”
ไม่ต้องสงสัย นี่คือปัญหาใหญ่มากๆ ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องรีบแก้…ก่อนจะสายเกินแก้
ลิเวอร์พูล เหลือคิวเตะเกมเยือนอีก 6 นัด เป็นในพรีเมียร์ลีกล้วนๆ (เมื่อรายการอื่นตกหมดแล้ว) เพียงแต่ก็น่าปาดเหงื่อใช่ย่อยว่า 6 นัดนั้นดูจะไม่มีเกมไหนง่ายเลยทั้งสิ้น
01/04 เยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้
04/04 เยือน เชลซี
17/04 เยือน ลีดส์ ยูไนเต็ด
26/04 เยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
13/05 เยือน เลสเตอร์ ซิตี้
28/05 เยือน เซาแธมป์ตัน
ไม่รู้สมมุติถ้าชนะสัก 3 แพ้อีก 3 จะเพียงพอให้จบในท็อปโฟร์ได้รึเปล่า…
Real Madrid v Liverpool FC: Round of 16 Second Leg – UEFA Champions League / MB Media/GettyImages
2. ท็อปโฟร์ พรีเมียร์ลีก ต้องเอาให้ได้!
ต่อจากข้อด้านบนหรือไม่ต่อก็ได้ ลิเวอร์พูล ต้องรีบปรับฟอร์มนอกบ้านให้เข้าที่เข้าทางโดยเร็วที่สุด เริ่มต้นหลังจากสิ้นสุดพักเบรคทีมชาติเดือนนี้ และในเวลาเดียวกัน ก็ต้องรักษามาตรฐานสูงๆ ของการเล่นใน แอนฟิลด์ เอาไว้ให้ตลอดรอดฝั่ง
ไม่ต้องพูดถึงหรือเท้าความสาธยายไปยังรายการอื่นอีก เมื่อสิ่งที่รอ ลิเวอร์พูล อยู่ในซีซั่นนี้ มีแต่บทสรุปของ พรีเมียร์ลีก 2022/23 เท่านั้น
ซึ่งก็นับว่าไม่เลวเลยกับผลงานเกมเหย้า ที่ปรากฏว่า ลิเวอร์พูล ดีที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลีกเวลานี้ทีเดียว
13 เกมเหย้า ได้มาเป็นชัยชนะ 9 เสมอ 3 แพ้แค่ 1 แต้มรวม 30
มากกว่านี้มีแค่ แมนฯ ซิตี้ (34) กับ อาร์เซน่อล (32) แค่สองทีม
เมื่อผลงานดีแบบนี้ (รวมที่ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 7-0) ก็เท่ากับ ลิเวอร์พูล ไม่ต้องกลัวใครเลยทั้งสิ้นเมื่อได้เล่นในบ้าน ต่อให้ทีมที่มาเยือนจะเป็น อาร์เซน่อล (9 เม.ย.) หรือ สเปอร์ส (30 เม.ย.) หงส์ก็ยังดูข่มๆ ชาวบ้านเขาอยู่ดี
ดังนั้น ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องย้อนไปว่ากันถึงข้อ 1. ว่าต้องรีบปรับฟอร์มนอกบ้าน (ที่ภาพรวมรั้งแค่อันดับ 12 จาก 20 ทีมพรีเมียร์, 13 นัดเยือนเพิ่งมี 12 แต้ม) ให้ได้เร็วที่สุด
เพื่อที่อย่างน้อย ความ “มือเปล่า” ไม่มีแชมป์ใดๆ ติดมือของปีนี้
อย่างน้อยยังมีรางวัลปลอบใจเป็นตั๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
FBL-ENG-PR-LIVERPOOL-ARSENAL / AFP Contributor/GettyImages
3. ถ้าไม่ได้ปีนี้ ก็ต้องปีหน้
หรือหากว่ามันแย่จริงๆ ฟอร์มนอกบ้านปรับแก้ไม่ทัน ฟอร์มในบ้านก็ดันสะดุดเอาในโค้งท้าย ซีซั่นหน้า 2023/24 ก็จะยิ่งสำคัญขึ้นเป็นทวีคูณ
เพราะในยุคของ คล็อปป์ ถ้าไม่นับปีตั้งไข่ช่วงแรกๆ แล้ว อย่างน้อย มาตรฐานคือการที่ ลิเวอร์พูล ได้เป็นหนึ่งในตัวแทนพรีเมียร์ลีก เข้าร่วมชิงชัยในถ้วยบิ๊กเอียร์ UCL
ความต่อเนื่องนี้กินเวลามาถึง 6 ปีติดต่อกัน นับรวมซีซั่นนี้
2017/18 รองแชมป์ (แพ้ เรอัล มาดริด 1-3)
2018/19 แชมป์ (ชนะ สเปอร์ส 2-0)
2019/20 ตกรอบ 16 ทีม
2020/21 ตกรอบ 8 ทีม
2021/22 รองแชมป์ (แพ้ เรอัล มาดริด 0-1)
2022/23 ตกรอบ 16 ทีม
นี่คือมาตรฐานที่ คล็อปป์และทีมงานเบื้องหลัง ลงทุนลงแรงตั้งเอาไว้ และมันไม่ควรแตกแถวแตกแนว เป็นการพลาดเข้าเล่น ชปล. 2 ปีติด เป็นเด็ดขาด
เพราะก็อย่างที่เราท่านทราบกันดี แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นเสมือนเวทีเงินเวทีทอง จับพลัดจับผลูไปถึงแชมป์ขึ้นมาก็รับทั้งเงินทั้งกล่อง เป็นโบนัสพิเศษแบบจุกๆ
ลิเวอร์พูล เองก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ห่างออกจาก ชปล. หลายๆ ปีติดมาแล้ว และก็รู้ซึ้งดีอยู่แล้วว่า “ความจนมันน่ากลัว” เมื่อไม่มีเงินไปทุ่มซื้อแข่ง ช่องห่างของความแข็งแกร่งก็ยิ่งถูกถ่างออก
แต่เอาเป็นว่า แง่นี้ก็คงต้องรอดูกันในระยะยาว
เพียงแต่ต้องบอกไว้เนิ่นๆ ณ ตรงนี้ ว่าเกิดถ้าปีนี้พลาด ปีหน้าต้องห้ามพลาดซ้ำอีกเป็นอันขาด!
FBL-EUR-C1-RANGERS-LIVERPOOL / ANDY BUCHANAN/GettyImages
4. ตลาดนักเตะที่ต้องเดินหมากดีๆ
สัมพันธ์กันกับข้อก่อนหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเคยมีกระแสข่าวรายงานไว้ว่า เงื่อนไขแรกสุดที่ ลิเวอร์พูล จะถูกพิจารณาจาก จู๊ด เบลลิงแฮม ว่าจะมีโอกาสยื้อแย่งลายเซ็นของสตาร์ดอร์ทมุนด์หรือไม่ ก็คือการได้ไป-ไม่ได้ไป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
และก็คงไม่ต่างกันกับนักเตะชั้นนำรายอื่นๆ ที่จะมีเรื่องของ ชปล. เข้ามามีเอี่ยวพิจารณา เป็นเสมือนแรงดึงดูดพิเศษที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักเตะและเอเยนต์
อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างจากศัตรูที่รัก แมนฯ ยูไนเต็ด ก็แสดงให้เห็นแล้วเหมือนกันว่า ถ้าเงินถึงพร้อมเปย์ การอดไป ชปล. ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญสุด
เพราะในซีซั่นนี้ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เล่นแค่ยูโรป้า พวกเขายังคว้านักเตะใหม่ได้ 5-6 ราย ในจำนวนนั้นเป็นแข้งเวิลด์คลาสอย่าง กาเซมิโร่ เสียด้วย
ฉะนั้น ก็คงขึ้นอยู่กับ FSG ว่าจะใจป้ำขนาดไหน อนุมัติเงินเสริมทัพมากน้อยเพียงใด ในช่วงเวลาที่ (หากว่าในที่สุดแล้ว) ไม่มี ชปล. เป็นตัวสร้างรายได้
สิ่งสำคัญนอกเหนือจากเรื่องงบประมาณแล้ว ก็คือ คล็อปป์ และทีมงานสรรหา ควรต้อง “ซื้อตัวปังๆ” แบบที่ฉีกซองแล้วใช้งานได้เลย มากกว่าจะจ่ายเงินเพื่อซื้ออนาคต เน้นตัวอายุน้อยเหมือนที่ทำในตลอด 2-3 ปีหลัง
อย่าลืมว่า ขุมกำลังดูจะมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญอีกรอบ อย่างน้อย แผงรุก SMF ก็จะปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์เมื่อ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หมดสัญญาย้ายออก ยังมีแดนกลางที่ก็ดูว่าควรต้องปรับ ทั้งย้ายเข้าย้ายออก (อย่างน้อย มันไม่ควรเป็น เจมส์ มิลเนอร์ ในวัย 37 ที่ต้องลงตัวจริงเกมบู๊ทีมอย่าง เรอัล มาดริด อีกแล้ว) เช่นเดียวกับหลังบ้าน ที่จะเก็บใครไว้ ปล่อยใครไป เสริมใครเข้ามาบ้าง
ทั้งหมดทั้งมวล ต้องเสริมทัพแบบเลือกให้ดี ให้เจอคนที่ใช่
เพราะก็ควรต้องย้ำอีกครั้งว่า ถ้าพลาดตั๋ว ชปล. ปีนี้ขึ้นมา ปีหน้าต้องเอาให้ได้!
TOPSHOT-FBL-EUR-C1-REAL MADRID-LIVERPOOL / JAVIER SORIANO/GettyImages
5. อย่าแตะต้อง เยอร์เก้น คล็อปป์!
สุดท้ายท้ายสุด ไม่ว่าฤดูกาลนี้จะจบลงอย่างไร น่าลืมเลือนขนาดไหน สิ่งที่บอร์ดหงส์ห้ามแตะห้ามต้อง ห้ามออกคำสั่งฟ้าผ่าโดยเด็ดขาด ก็คือตัวกุนซืออย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์
มันอาจมีการพูดถึง “อาถรรพ์ปี 7” ของโค้ชเยอรมัน ที่เป็นทั้งในจ๊อบก่อนหน้าและที่นี่ ที่แอนฟิลด์
– ไมนซ์ ในปีที่ 7 (2001-2008)
ตกชั้นกลับสู่ลีกาสอง, ไม่อาจพาทีมเลื่อนชั้นได้โดยเร็ว ก่อนยื่นใบลาออกในที่สุด
– โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในปีที่ 7 (2008–2015)
ตกรอบ 16 ทีม ชปล., แพ้นัดชิง เดเอฟเบ โพคาล, แพ้ถึง 14 นัดในลีกจนจบอันดับ 7 ที่สุดแล้วต้องขอลาออกตั้งแต่ยังไม่จบซีซั่น
– ลิเวอร์พูล ในปีที่ 7 (2015 เป็นต้นมา)
เริ่มต้นซีซั่นได้แย่ที่สุดในยุคตัวเอง, เจอปัญหานักเตะเจ็บตลอดซีซั่น, ตกรอบบอลถ้วยทุกรายการ, แชมป์พรีเมียร์ลีกหมดลุ้น, ได้แค่สู้เพื่อจบท็อปโฟร์
ดังจะเห็นว่า นี่คือปีที่อ่วมจริง แย่จริงไม่อิงนิยาย เป็นเหมือนปีที่ คล็อปป์ กับลูกทีมหงส์ตกที่นั่ง “ปีชง” โดยไม่ได้เดินเข้าวัดสะเดาะเคราะห์ที่ไหน
แต่ก็อีกนั่นแหละ บอร์ดหงส์ไม่อาจใจร้อน ตัดสินโดยเอาผลลัพธ์ของปีนี้เป็นที่ตั้งได้เลย ต่อให้ในท้ายที่สุดจะไม่จบ 4 อันดับแรก อดไป ชปล. ขึ้นมาจริงๆ ก็ตาม
เพราะลืมไม่ได้เด็ดขาด ว่านี่คือยอดโค้ชระดับหนึ่งในยุทธจักร เป็นคนแรกและคนเดียวที่พา ลิเวอร์พูล ครองแชมป์พรีเมียร์ลีก พร้อมๆ กับที่ขึ้นบัลลังก์เจ้ายุโรปได้อีก 1 สมัย (และแพ้นัดชิง 2 รอบ)
จะหาใครที่เก่งกาจและเข้าใจวิถีของ ลิเวอร์พูล ได้แบบนี้ อาจไม่มีอีก
และเกิดถ้าใจร้อนสั่งเด้งพ้นไป แล้วดันจิ้มเลือกคนผิดขึ้นมา ดีไม่ดีจะเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่…อย่างที่เคยเกิดขึ้นให้ เดอะ ค็อป ต้องเจ็บช้ำใจมานักต่อนักแล้ว!
Liverpool FC Head coach Jurgen Klopp seen during the UEFA… / SOPA Images/GettyImages
Source: 90min.com