ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จากการเดินหน้าเก็บชัยชนะ 5 เกมติดต่อกัน นั้น เมื่อมองไปที่ผลการแข่งขัน “หงส์แดง” ยังคงมีปัญหาเกมรับจากการที่เก็บคลีนชีตได้เพียงเกมเดียวเท่านั้น คือ นัดล่าสุดที่เปิด แอนฟิลด์ เชือด ฟูแล่ม 1-0
การเสียประตูเป็นว่าเล่นของ ลิเวอร์พูล ประเด็นหลักเกิดจากการที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเนอรมัน เปลี่ยนแท็คติคมาเล่นแนวรับ 3 คน ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ฟอร์มการเล่นที่ถดถอยของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติฮอลแลนด์
Real Madrid v Liverpool – UEFA Champions League Final / Mike Hewitt/GettyImages
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผลกระทบของ ฟาน ไดจ์ค หลังย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มาเล่นกับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ เมื่อเดือนมกราคมปี 2018 นั้น มีอย่างมหาศาล โดยกองหลังชาวดัตช์กลายเป็นคีย์แมนที่ทำให้ “หงส์แดง” คว้าแชมป์รายการสำคัญอย่าง ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก และ พรีเมียร์ลีก
ขณะเดียวกันในปี 2019 ฟาน ไดจ์ค ยังได้รับคะแนนโหวตให้เป็นอันดับ 2 ในการคว้ารางวัล “บัลลงก์ดอร์” รองจาก ลิโอเนล เมสซี เพียงคนเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ เจ้าตัวยังมีชื่ออยู่ในทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ พีเอฟเอ ถึง 3 จาก 4 ฤดูกาลที่ผ่านมา ยกเว้นเพียงซีซัน 2020/21 ที่ได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า
อย่างไรก็ตาม หลังจาก ลิเวอร์พูล พยายามคว้า 4 แชมป์อย่างหนักหนาสาหัสเมื่อฤดูกาลที่แล้ว บวกกับนักเตะหลายรายในทีมที่อายุมากขึ้น รวมถึง ฟาน ไดจ์ค ในวัย 31 ปี ทีมของ คล็อปป์ ก็ไม่สามารถเล่นฟุตบอลด้วยความเข้มข้นได้เหมือนเดิมอีกแล้ว
ในซีซีนนี้ ปัญหาที่ชัดเจนของ ลิเวอร์พูล เริ่มต้นมาจากเกมรุก และกองกลาง ซึ่งไม่สามารถไล่เพรสซิ่งคู่แข่งได้มีประสิทธิภาพเหมือนกับที่ผ่านมา และมันก็ส่งผลเสียมาถึงเกมรับที่มี ฟาน ไดจ์ค ซึ่งมีสภาพร่างกายอ่อนล้าคอยบัญชาการ
หลายเกมที่ผ่านมา บรรดาคู่แข่งของ ลิเวอร์พูล พยายามเปิดเผยจุดอ่อนของ “หงส์แดง” มาตลอด ซึ่งจุดสำคัญอยู่ตรงพื้นที่ระหว่างมิดฟิลด์ และแผงแบ็คโฟร์ ที่มีช่องว่างมากมาย ซึ่งทำทีมของ คล็อปป์ โดนยิงประตูอย่างต่อเนื่อง
Swansea City v Liverpool – Premier League / Matthew Ashton – AMA/GettyImages
ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา คล็อปป์ ตัดสินใจแก้ปัญหาฟอร์มการเล่นที่ไม่คงเส้นคงวาของ ลิเวอร์พูล ด้วยการปรับแท็คติคให้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขยับขึ้นนมาเล่นในแผงมิดฟิลด์เพื่อรับบทบาท inverted fullback และปรับมาใช้แนวรับ 3 คนประกอบด้วย ฟาน ไดจ์ค, อิบราฮิมา โกนาเต และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
ผลงานของ ลิเวอร์พูล ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่มันสวนทางกับฟอร์มส่วนตัวของ ฟาน ไดจ์ค ที่ดูจะมีปัญหากับระบบใหม่ โดยแนวรับวัย 31 ปี ดูเชื่องช้า ตัดสินใจผิดพลาด และมักจะปล่อยให้คู่แข่งเลี้ยงผ่านไปได้ง่ายๆ
แม้แต่ทีมระดับล่างอย่าง บอร์นมัธ, เบรนท์ฟอร์ด และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ก็สามารถทำให้ ฟาน ไดจ์ค เจอกับปัญหาได้เสมอ ซึ่งอดีตกองหลัง เซาธ์แฮมป์ตัน ก็ยอมรับว่า ตัวเองอยู่ในช่วงฟอร์มตก และสภาพร่างกายไม่เหมือนเดิมอีกแล้วหลังกรำศึกหนักมาตลอดทั้งกับสโมสร และทีมชาติในศึก ฟุตบอลโลก 2022
ฟาน ไดจ์ค ซึ่งลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ไปมากถึง 51 เกม เมื่อปีที่แล้วให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า “หลังกลับมาจากอาการบาดเจ็บที่เข่า ผมลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีกทั้งหมดทุกนัด เพราะผมต้องการช่วยทีมอยู่เสมอ แต่สิ่งที่ตามมาคือ ผมลงเล่นมากเกินไป”
“ผมอาจเคยคิดก่อนฟุตบอลโลกว่า ควรพักสักหน่อยเพื่อให้ตัวเองพร้อม แต่ผมก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิดเลย ผมคิดว่าการไปเล่นฟุตบอลโลกแล้วก็พักเพียงหนึ่งสัปดาห์ จากนั้น กลับมาลงสนาม ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ถูกต้องนัก”
ปราการหลังชาวดัตช์ กำลังจะอายุครบ 32 ปี ในเดือนกรกฎาคมนี้ และอาจเป็นไปได้ว่า เจ้าตัวใกล้จะผ่านจุดสูงสุดของตัวเองไปแล้ว ซึ่งมันเป็นช่องโหว่ที่ ลิเวอร์พูล ควรจะมองหากองหลังตัวกลางคนใหม่ที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับ ฟาน ไดจ์ค เข้ามาทดแทนต่อไป
Source: 90min.com